วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

แนวความคิดตามทฤษฏีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ซิกมัน ฟรอยด์

1         แนวความคิดตามทฤษฏีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์  ซิกมัน   ฟรอยด์  (Sigmund   Freud  )   เป็นจิตแพทย์ชาวเวียนนา   ฟรอยด์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพไว้ดังต่อไปนี้




1.1  โครงสร้างของบุคลิกภาพ   (Structure   of    Personality)    ตามแนวความคิดของฟรอยด์นั้นเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์แบ่งได้เป็น  3  ส่วน  
(1)  อิด  (Id)   เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่มีมาตั้งแต่กำเนิดโดยอยู่ในจิตไร้สำนึก    อิดจะประกอบไปด้วยสัญชาตญาณในการดำรงชีวิตซึ่งได้แก่       สัญชาตญาณทางเพศ    แรงผลักดัน    ทางชีววิทยา   เช่น  ความหิว   ควมากระหาย   และสัญชาตญาณแห่งความตาย       การทำงานของอิดจะเป็นไปตามหลักของความพอใจ   (Pleasure  Principle)     โดยเป็นการเสาะแสวงหาความสุขความสบาย
(2)   อีโก้   (Ego)   เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่มีลักษณะของความมีเหตุผลอยู่ในหลักความเป็นจริง   หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของอีโก้ก็คือตอบสนองความต้องการหรือความพึงพอใจให้กับอิด   แต่เป็นการทำงานภายใต้หลักความเป็นจริง
(3)  ซูปเปอร์อีโก้  (Superego)     เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่พัฒนาเมื่อเด็กอายุ  5  หรือ ขวบ ซึ่งประกอบด้วยคุณธรรมจริยธรรมอันเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่    ซูเปอร์อีโก้จะอยู่ในจิตสำนึกและจิตไร้สำนึก  ประกอบด้วย   2 ส่วน  คือ
            3.1    มโนธรรม   (Concience)   เป็นส่วนของความละอายและเกรงกลัวต่อการทำผิด
            3.2    อุดมคติแห่งตน  (Ego - Ideal)   เป็นส่วนของความคาดหวังในสิ่งที่ดีงาม
            การทำงานของโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนนั้นจะมีความสัมพันธ์กันและผสมผสานกันการทำงานของอิด  อีโก้  และซูปเปอร์อีโก้  ที่เป็นไปอย่างสมดุลกัน  กล่าวคือ    อิดกันซูปเปอร์อีโก้จะทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะอย่าง    ส่วนอีโก้ทำหน้าที่ประสานการทำงานของระบบทั้งหมด     อิดแสวงหาความสุขความพอใจให้แก่ตนเองซูปเปอร์อีโก้เป็นผู้ค่อยควบคุมให้การเกิดกระทำในสิ่งที่ดี  


1.2   ขั้นพัฒนาการของบุคลิกภาพ      ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการทางบุคลิกภาพของมนุษย์ตามวัย  ได้  5 ระยะ  ดังนี้
 (1)   ขั้นปาก  (  Oral  Stage)   ช่วงอายุแรกเกิด – 12   หรือ   18   ความสุขและความพึงพอใจของเด็กจะอยู่ที่ปากเช่น การดูดนม การสัมผัสด้วยปาก หากเด็กได้รับการตอบสนองเต็มที่ เด็กก็จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพเหมาะสม หากตรงกันข้ามเด็กจะเกิดการชะงักถดถอย (Fixation) และมาแสดงพฤติกรรมในช่วงนี้อีกในวัยผู้ใหญ่ เช่น ชอบนินทาว่าร้าย สูบบุหรี่ กินจุบ-กินจิบ เป็นต้น
(2)  ขั้นทวารหนัก   (Anal   Stage)   ช่วงอายุตั้งแต่  1 หรือ 1ขวบครึ่ง    -3   ขวบ   ความสุขและความพึงพอใจของเด็กจะอยู่ที่ทวารหนัก   หากเด็กได้รับการลงโทษและฝึกหัดด้วยวิธีรุนแรงจะทําให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่พอใจและเก็บ
ความรู้สึกที่ไม่ดีไว้ที่จิตไร้สํานึก และจะมีผลต่อบุคลิกภาพในเวลาต่อมา กล่าวคือ เป็นคนขี้เหนียว เจ้าระเบียบ ชอบทําร้ายให้ผู้อื่นเจ็บปวด อาจเป็นสาเหตุของโรคประสาทชนิด ยํ้าคิดยํ้าทํา
(3 )ขั้นเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-6 ขวบ หมายถึง ความสนใจของเด็กจะเปลี่ยนมาสนใจเกี่ยวกับอวัยวะเพศ มักถามว่าตนเกิดมาจากไหน ฯลฯ ในขั้นนี้เด็กจะรักพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามกับตนและลักษณะเช่นนี้ทําให้เด็กเลียนแบบบทบาททางเพศจากพ่อหรือแม่ที่เป็นต้นแบบ หากพ่อแม่ปฏิบัติตามบทบาทที่ดีเหมาะสมเป็นตัวแบบที่ดี เด็กก็จะเลียนแบบและพัฒนาบทบาททางเพศของตนได้อย่างดี  ในระยะนี้มีปรากฏการณ์ที่สําคัญ คือ ปมออดิปุส (Oedipus complex) เป็นปรากฏการณ์ที่เด็กชายมีความรู้สึกทางเพศ รักและผูกพันแต่แม่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเกียจพ่อซึ่งเป็นผู้มาแย่งความรักจากแม่ไป ส่วนเด็กหญิงก็ทํานองเดียวกัน เด็กหญิงจะมีความรู้สึกทางเพศ รักและผูกพันกับพ่อ ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเกียจแม่ซึ่งเป็ นผู้มาแย่งความรักจากพ่อไป
(4) ระยะความต้องการแฝง (Latency Stage) อายุ 7-14 ปี เป็นวัยเข้าโรงเรียน วัยนี้ดูภายนอกค่อนข้างเงียบสงบ หลังจากผ่านระยะ Oedipus complex มาแล้ว ความรู้สึกพอใจทางเพศจะถูกเก็บกดเอาไว้ เด็กจะเริ่มออกจากบ้านไปสังคมภายนอก เช่น สังคมในโรงเรียน เด็กจะมีกิจกรรมใหม่ๆที่เพิ่มขึ้น
(5)  ระยะขั้นวัยรุ่น (Genital Stage)อายุ 13-18 ขวบ หมายถึง เด็กหญิงจะเริ่มมีความสนใจเด็กชายและเด็กชายก็เริ่มมีความสนใจเด็กหญิงเป็ นระยะที่จะมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างแท้จริงการอธิบายสาเหตุของพฤติกรรมผิดปกติ
1.การเสียสมดุลของ Id, Ego and Super Ego
 - Ego ไม่สามารถปรับสภาพให้เกิดความพอดีระหว่างความต้องการตามสัญชาตญาณ (Id) และการถูกตําหนิโดย
มโนธรรม (Super Ego) ได้ จึงเกิดความขัดแย้งในจิตใจ บุคคลจึงใช้กลไกป้ องกันทางจิตเป็นทางออกเพื่อแก้ปัญหา
หากกลไกป้องกันทางจิตถูกนํามาใช้อย่างไม่เหมาะสมก็อาจก็อาจทําให้เกิดพยาธิภาพในจิตใจได้
   2.การไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการในแต่ละขั้นตอนอย่างเหมาะสม
 - ทําให้เด็กเกิดความขัดแย้ง เด็กจะใช้พลังงานส่วนหนึ่งในการขจัดความขัดแย้งทําให้พลังในการปฏิบัติกิจกรรม
หลักในขั้นต่อไปเหลือน้อยลง พัฒนาการทางจิตใจหยุดชะงัก (Fixation) ที่จุดนั้น
 - เมื่อบุคคลเกิดปัญหาเมื่อเวลาต่อมา ก็มีแนวโน้มที่จะใช้กลไกป้องกันทางจิตที่เคยหยุดชะงักอีก ทําให้การแสดงออกของพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับวัยและสภาพสังคม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น