เมื่อพิจารณาตามประวัติแล้ว ทฤษฎีของฟรอมม์ค่อนข้างจะอิงกับทฤษฎีของฟรอยด์และมาร์ค.
เนื่องจากฟรอยด์ เน้นเรื่องจิตไร้สำนึก แรงขับทางชีวภาพความเก็บกด และอื่นๆ.
หรืออีกนัยหนึ่ง ฟรอยด์มองว่า บุคลิกภาพของเราถูกกำหนดโดยชีววิทยา.ตรงกันข้าม
มาร์คซ์ถูกกำหนดโดยสังคมของเขาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจ.
ฟรอมม์อธิบายว่า
คนเราจะหลีกหนีจากการมีเสรีภาพ(Escape from freedom) ใน 3
ลักษณะคือ:
1. เผด็จการ(Authoritarianism) เราจะหลีกเลี่ยงจากเสรีภาพโดยการหลอมรวมตนเองเข้าเป็นกับคนอื่นๆ
โดยการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเผด็จการ)อย่างเช่น สังคมในยุคกลาง. วิธีนี้กระทำได้ใน
2 ลักษณะ. อย่างแรก คือยอมรับอำนาจของผู้อื่น เป็นฝ่ายอ่อนน้อมยอมตาม.
อีกลักษณะหนึ่งคือ เอาตนเองศูนย์กลางอำนาจ และบังคับให้ผู้อื่นอยู่ในอำนาจของตน.
แต่ไม่ว่าทางใด คุณก็เป็นคนที่หลีกหนีจากอัตลักษณ์เฉพาะแห่งตน
2. การทำลาย (Destructiveness) พวกเผด็จการนิยมจะตอบสนองต่อชีวิตที่เจ็บปวดด้วยการทำร้ายตนเองในทำนองว่า:
ดูสิ ถ้าไม่ฉันอยู่เสียแล้ว จะมีอะไรทำร้ายฉันได้มั๊ย? ส่วนพวกอื่นจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดโดยการต่อต้านโลก:
ถ้าฉันทำลายโลกพังย่อยยับแล้ว ดูสิว่ามันจะทำร้ายฉันได้มั๊ย? การหลีกเลี่ยงจากเสรีภาพแบบนี้
อยู่ในรูปของสิ่งเลวร้ายในชีวิตอันไม่น่าพึงปรารถนาในลักษณะต่างๆ
การทำลายทรัพย์สิน(vandalism), การสร้างความอัปยศอดสูให้ผู้อื่น(humiliation),
การจอล้างจองผลาญ, อาชญากร, ผู้ก่อการร้าย
3. การทำตัวกลมกลืนโดยอัตโนมัติ (Automaton
conformity) พวกเผด็จการนิยมจะหลีกเลี่ยงการมีเสรีภาพโดยการซ่อนอยู่ภายใต้ชนชั้นเผด็จการ.
แต่สังคมเน้นคุณภาพ! จึงมีชนชั้นที่จะให้ซ่อนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (แม้ว่า
ความมั่งคั่งจะมีอยู่มากมายสำหรับใครก็ตามที่ต้องการมัน แต่บางคนก็ไม่ต้องการมัน).
เมื่อเราต้องการที่จะหลบซ่อน เราจะหันไปซ่อนในวัฒนธรรมมวลชน(mass culture)แทน. เมื่อฉันต้องแต่งตัวในตอนเช้า มีหลายหลายที่ฉันต้องตัดสินใจ!
แต่เมื่อฉันใคร่ครวญว่า ฉันกำลังจะสวมใส่อะไร
ความคับข้องใจของฉันก็อันตรธานไปทันใด. แม้กระทั่งเวลาที่ฉันดูโทรทัศน์
รายการอย่างเช่น รายการพยากรณ์ชีวิตจะบอกฉันอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด.
ถ้าฉันมีความคิดเห็น พูด คิด รู้สึกเหมือนคนอื่นๆในสังคม เมื่อนั้น
ฉันจะจางหายไปในฝูงชน และฉันไม่จำเป็นต้องรู้ถึงเสรีภาพและความรับผิดชอบของฉัน.
พวกตัวกลมกลืนโดยอัตโนมัติจึงเป็นของคู่กับกับพวกนิยมเผด็จการ.
จิตไร้สำนึกทางสังคม
(The
social unconscious)
ครอบครัวส่วนใหญ่มักจะเป็นผลสะท้อนของสังคมและวัฒนธรรมของเรา.
ฟรอมม์อธิบายย้ำว่า พวกเรารับค่านิยมผ่านการอบรมเลี้ยงดู.
บ่อยครั้งที่เรามักจะลืมไปว่า สังคมเข้ามาพัวพันกับเรื่องต่างในชีวิตเรามากแค่ไหน
1. แนวคิดแบบมือขอ (The
receptive orientation) คนเหล่านี้มักจะคาดหวังว่าจะได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ.
ถ้าเขาไม่ได้ในทันทีเขาจะรอต่อไป. พวกเขาเชื่อว่า
สิ่งของและความพึงพอใจจะมาจากนอกตัวเขา.
2. แนวคิดแบบแสวงหาผลประโยชน์ (The
exploitative orientation) คนเหล่านี้จะคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งที่เขาต้องการ.
ความจริงก็คือ สิ่งต่างๆจะมีค่ามากขึ้นถ้าเข้าได้มาจากผู้อื่น:
ทรัพย์สินที่ได้มาโดยการปล้นชิง แนวคิดที่ขโมยมาจากผู้อื่น
ความรักที่ได้มาโดยการใช้อำนาจบีบบังคับ
3. แนวคิดแบบเก็บสะสม (The
hoarding orientation) พวกที่ชอบเก็บสะสมก็คิดเอาแต่จะเก็บสะสมอย่างเดียว.
ทุกอย่างสำหรับเป็นสิ่งที่ต้องเก็บสะสมและเก็บสะสมให้มากยิ่งขึ้น.
แม้กระทั้งคนรักก็เป็นสิ่งที่จะต้องเก็บสะสม, รักษา
หรือซื้อหาเอาไว้
4. แนวคิดแบบการตลาด (The
marketing orientation) คนที่มีบุคลิกภาพแบบการตลาด
คิดแต่จะขายอย่างเดียว. ความสำเร็จขึ้นอยู่กับว่าฉันสามารถขายตัวฉันเอง
สร้างตัวเองเป็นสินค้า และโฆษณาตนเองได้อย่างไร. ครอบครัวฉัน โรงเรียนของฉัน
งานของฉัน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของฉัน – ทุกอย่างเป็นการโฆษณา
และจะต้อง “ขายได้.” แม้ความรักเองก็ถูกมองว่าเป็นเพียงความติดต่อสัมพันธ์กันเท่านั้น
5. แนวคิดแบบเน้นผลิตผล (The
productive orientation) เป็นบุคลิกภาพวัฒนะซึ่งหลายครั้ง
ฟรอมม์อ้างว่า หมายถึง บุคคลที่ไม่เสแสร้ง.
คนแบบนี้คือจะที่ไม่ปฏิเสธธรรมชาติทางกายและสังคม
และไม่ห่างเหินจากเสรีภาพและความรับผิดชอบ.
คนประเภทนี้จะมาจากครอบครัวที่ให้ความรักโดยไม่มีการครอบงำใช้กฎอย่างมีเหตุผล
และให้เสรีภาพในการปรับตัวเข้าหากัน.
ความต้องการของมนุษย์
(Human
Needs)
ฟรอมม์ก็เหมือนกับหลายคนที่เชื่อว่า
มนุษย์มีความต้องการมากกว่าความต้องการทางกายซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐาน
ซึ่งฟรอยด์และนักพฤติกรรมนิยมและนักคิดใช้อธิบายถึงพฤติกรรมมนุษย์. ฟรอมม์เรียกว่า
ความต้องการของมนุษย์ (human needs)
1.
ความสัมพันธ์ (Relatedness)
ในฐานะที่เป็นมนุษย์
พวกเราตระหนักดีว่าความเป็นแปลกแยกระหว่างเราและคนอื่นและพยายามที่จะเอาชนะ.
ฟรอมม์เรียกว่าต้องการผูกพัน (need for relatedness) และมองว่าความรักคือ
ความรู้สึกที่กว้างที่สุด
2.
การสร้างสรรค์ (Creativity)
ฟรอมม์เชื่อว่า พวกเราต้องการที่จะเอาชนะ
อยู่เหนือ(transcend) ข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ของเรา:
ความรู้สึกว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใครสักคนสร้างขึ้นมา.
เราต้องการที่จะเป็นผู้สร้าง. การสร้างสรรค์สามารถทำได้หลายรูปแบบ:
เราให้กำเนิดลูกหลาน ปลูกพืช สร้างภาชนะ วาดภาพ เขียนหนังสือ และรักคนอื่น.
การสร้างสรรค์ แท้จริงแล้วก็ คือ การแสดงความรัก.
3.
การมีสังกัด (Rootedness)
พวกเราต้องการมีสังกัด.
เราต้องการที่จะรู้สึกว่าทุกแห่งเป็นเสมือนบ้านของเรา แม้กระนั้น
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราก็มีบางอย่างที่แปลกแยกจากโลกตามธรรมชาติ.
รูปแบบที่ง่ายที่สุดคือการผูกพันอยู่กับแม่ของเราเอง.
แต่การที่จะเติบโตขึ้น หมายความว่า เราต้องห่างเหินจากอ้อมอกของมารดา.
หากไม่ยอมออกห่างจากมารดา ฟรอมม์เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า การผิดประเวณีทางจิตวิทยา(psychological
incest). เพื่อที่จะจัดการกับความยุ่งยากของโลกวัยผู้ใหญ่
เราต้องแสวงหาสังกัดที่ใหม่ และกว้างใหญ่ขึ้น. เราต้องแสวงหาภราดรภาพ(brotherhood)
(และภคินีภาพ) กับเพื่อนมนุษย์.
4.
การรู้สึกว่าตนเองมีเอกลักษณ์(A sense of identity)
"มนุษย์อาจจะถูกนิยามได้ว่าเป็นสัตว์ที่สามารถพูดได้.'"
(p 62 of The Sane Society) ฟรอมม์เชื่อว่า
พวกเราต้องการที่จะรู้สึกถึงอัตลักษณ์(Identity) แห่งปัจเจกบุคคล(individuality)
เพื่อจะรักษาสมดลย์.
บางครั้ง
ความต้องการนี้ก็มีอำนาจผลักดันให้เราแสวงหามัน ตัวอย่างเช่น
การทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้มีสถานภาพหรือพยายามที่พยายามที่จะปรับตัวให้ได้มากที่สุด.
บางครั้งพวกเราก็ทำให้ชีวิตเราถดถอยลงเพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม.
แต่นี่เป็นเพียงอัตลักษณ์ที่จอมปลอม เป็นอัตลักษณ์ที่เราได้จากคนอื่น
แทนที่จะเป็นอัตลักษณ์ที่เราพัฒนาขึ้นเองและ
และอัตลักษณ์นั้นก็ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้เรา.
5.
กรอบแนวคิด (A frame of orientation)
สุดท้าย
พวกเราต้องการที่จะเข้าใจและโลกและสถานที่ต่างๆ. อีกครั้ง, สังคมของเรา –และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแง่มุมทางศาสนาของวัฒนธรรมเรา
– ที่มักจะให้คำอธิบายสิ่งต่างให้เราทราบ. หลายอย่าง
อย่างเช่น ตำนาน ปรัชญา และศาสตร์ต่างที่ให้แนวคิดแก่เรา.
ฟรอมม์กล่าวว่า
ความต้องการที่จำเป็นจริงๆมี 2 อย่าง: อันดับแรก พวกเราต้องการกรอบแนวคิด (frame
of orientation) เกือบทุกอย่างที่เราจะทำ. แม้ว่า
สิ่งที่เลวร้ายอย่างหนึ่งจะดีกว่าอีกอย่างหนึ่ง!
และทำให้คนคนนั้นถูกลวงอยู่บ่อยครั้ง. เราต้องการที่จะเชื่อ แม้ว่า
บางครั้งจะเป็นผลร้าย. หากพวกเราไม่ต้องการคำอธิบายแบบคร่าวๆ
เราจะสร้างคำอธิบายบางอย่างขึ้นมา โดยใช้การอ้างเหตุผล(rationalization).
ประการต่อมา
คือ พวกเราต้องการที่จะมีกรอบแนวคิดที่ดี มีประโยชน์ และถูกต้อง. นี่คือ
ที่ซึ่งเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้อง.
นี่คือสิ่งดีๆที่พ่อแม่และคนอื่นๆอธิบายโลกและชีวิตของเราให้เราทราบ แต่ถ้าไม่มีละ มันจะเป็นอะไรดี? กรอบแนวคิดต้องมีเหตุผล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น