ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของซัลลิแวน
แนวคิดที่สำคัญ
1. โครงสร้างบุคลิกภาพ
ซัลลิแวนเห็นว่า
พันธุกรรมมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการสร้างบุคลิกภาพ
โครงสร้างบุคลิกภาพจึงเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล
บุคคลที่มีความสัมพันธ์ด้วยอาจมีชีวิตอยู่จริงหรือเป็นบุคคลในฝัน ในเทพนิยาย หรือเป็นบุคคลเด่น
ๆ ก็ได้ เขาเชื่อว่าบุคลิกภาพเป็นการทำงานประสานกันระหว่าง การแปรเปลี่ยนพลัง (Dynamics) การสร้างภาพบุคคล(Personification)
และกระบวนการคิด (Cognitive Process)
1.1.
การแปรเปลี่ยนพลัง (Dynamics) เป็นกระบวนการปรับตัวของบุคคล
ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ถึงความต้องการของผู้อื่นแล้วแสดงพฤติกรรม
ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น ทั้งที่อาจไม่ได้ต้องการตามนั้น
1.
ภาพตนเองที่ว่า “ฉันดี” (Good Me) ซึ่งเป็นผลของประสบการณ์ที่รับการยอมรับจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ให้ความรู้สึกรักใคร่
อบอุ่น เอาใจใส่ ห่วงใย
ทำให้เกิดความพึงพอใจ
2. ภาพตนเองที่ว่า “ฉันเลว” (Bad Me) เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการได้การอบรมเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง
ไม่เอาใจใส่ ไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการ จึงทำให้เด็กเกิดความไม่พอใจ
3. ภาพตนเองที่ว่า “ไม่ใช่ฉัน” (Not Me) เกิดจากการอบรมเลี้ยงดูแบบขู่เข็ญหรือทำให้หวาดกลัวอย่างรุนแรงทำให้เกิดความวิตกกังวลสูง
จึงแสดงพฤติกรรมออกมาในเชิงปฏิเสธว่า “ไม่ใช่ฉัน”เพราะเป็นสิ่งที่เด็กไม่ ต้องการรับรู้
1.2 การสร้างภาพบุคคล (Personification)
เป็นภาพที่บุคคลวาดขึ้นจากการที่ตนได้ไปสัมพันธ์กับคนอื่นภาพเหล่านี้อาจเป็นภาพของตนเองหรือผู้อื่น
ซึ่งเป็นภาพที่ถูกต้องหรือไม่ก็ได้
เมื่อภาพเป็นที่ติดตาแล้วก็ยากต่อการเปลี่ยนแปลงและยังมีแนวโน้มที่จะถ่ายโอนไปยังบุคคลอื่นด้วย
เช่น ภาพแม่ดีใจ อาจมองว่าผู้หญิงที่เป็นแม่ใจดีทุกคน เป็นต้น
1.3 กระบวนการคิด (Cognitive
Process) ซัลลิแวนเชื่อว่ากระบวนการคิดเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบุคลิกภาพเขาได้แบ่งกระบวนการคดออกเป็น
3 ลักษณะ คือ
1. โปรโตทาซิก (Prototaxic)
เป็นกระบวนการคิดของทารกที่ยังไม่ได้ปรุงแต่ง
รับรู้สิ่งต่างๆอย่างไม่เฉพาะเจาะจง ไม่เข้าใจความหมาย ผ่านไปแล้วผ่านไปเลย
ไม่ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของสิ่งนั้น 2. พาราทาซิก (Parataxic) เมื่อเด็กพัฒนาความคิดสูงขึ้นจะเริ่มเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระว่างสิ่งต่างๆทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้างปนกันไป
แต่ความคิดของเด็กถือว่าสิ่งที่คิดนั้นเป็นจริง เช่น อุลตราแมน เป็นต้น
ความคิดดังกล่าวจะส่งผลต่อบุคลิกภาพของบางคนในอนาคต เป็นต้น 3. ซินทาซิก (Syntaxic)
เมื่อเด็กมีความสามารถทางงภาษาเพิ่มขึ้นถึงขั้นใช้สัญลักษณ์แล้ว
สภาพความเป็น
จริงกับความจริงมากขึ้น
สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ สื่อสารกับผู้อื่นได้เข้าใจ
2. การพัฒนาบุคลิกภาพ
ซัลลิแวนได้แบ่งการพัฒนาบุคลิกภาพตามประสบการณ์เป็น 7 ขั้น (ศรีเรือน แก้วกังวาน,2546, หน้า 70-73) คือ
1. ขั้นทารก (Infancy)
อายุแรกเกิด -18 เดือน วัยนี้จะมีความสุข
กับการใช้ปากในการตอบสนองความต้องการอาหารของตนเองด้วยการดูดหรือการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการใช้ประสาทตาสัมผัสกับมือในการดูดนิ้วตนเอง
2. ขั้นวัยเด็ก (Childhood)
อายุ 18 เดือน - 5 เดือน
เป็นระยะที่เริ่มหัดพูด ฝึกออกเสียงได้ชัดเจน
เริ่มมีเพื่อนและต้องการให้ผู้อื่นยอมรับสถานภาพของตนเอง
3. ขั้นวัยเยาว์ (Juvenile
Era) อายุระหว่าง 5-12 ปี เป็นวัยที่เข้าโรงเรียน
พัฒนาการทางร่างกายเร็วมากเริ่มรู้จักสังคม มีการร่วมมือและแข่งขัน เรียนรู้ที่จะควบคุมตนอง
4. ขั้นก่อนวัยรุ่น (Pre-
Adolescence) อายุ 11-13 ปี เริ่มมีวุฒิภาวะทางเพศ
มีการกล้าแสดงออกมากขึ้นและยังต้องการความเท่าเทียมกับผู้ใหญ่
5. ขั้นวัยรุ่นตอนต้น (Early
Adolescence) อายุระหว่าง 13- 17 ปี เป็นวัยที่มีความพอใจในเรื่องเพศ
ต้องการคบเพื่อนเดียวกันและต่างเพศ ต้องการความเป็นอิสระไม่อยากพึ่งพาใคร
6. ขั้นวัยรุ่นตอนปลาย (Late
Adolescence) อายุ 17-19 ปี ร่างกายเจริญเต็มที่
มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรู้และเข้าใจตนเอง เรียนรู้บทบาทในสังคมได้ดี
7. ขั้นวัยผู้ใหญ่ (Adulthood)
อายุระหว่าง 20-30 ปี
เป็นวัยที่มีพัฒนาการทุกอย่างสมบูรณ์เต็มที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นสร้างหลักฐาน
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น